Alfresco มีช่องทางในการที่ให้เราสร้าง Web Service ขึ้นมาได้โดยใช้ความสามารถของ Spring Surf ซึ่ง Alfresco เราสามารถสร้างได้โดยเลือกระหว่าง 2 ภาษาคือ JavaScript ซึ่งใช้ Rhino Library ของ Mozilla เหมาะสำหรับงานที่ไม่มีความซับซ้อนมากมายอะไร และ Java สำหรับงานที่ซับซ้อนมาก
<WINGY+ />
Junior Programmer, Software Quality
11/15/2013
11/02/2013
รู้จักกับ Vundle
Vundle เป็นปลั๊กอินที่เอาไว้จัดการกับปลั๊กอินใน Vim อีกทีนึง
:BundleUpdate ใน command mode หากสั่งจากภายใน vim หรือ vim +BundleUpdate +qall
และต้องการถอนการติดตั้งให้ลบ Bundle ที่ต้องการใน ~/.vimrc และสั่ง :BundleClean หรือ vim +BundleClean +qall ได้อีกด้วย
และหากต้องการหาปลั๊กอิน Vundle ก็สามารถทำได้เช่นกันโดยสั่ง
:BundleSearch <plugin_name>
วิธีการติดตั้ง
- โคลนซอร์สโค้ดของ Vundle จาก https://github.com/gmarik/vundle โดยผมจะโคลนไว้ที่ ~/.vim/bundle
- เปิดไฟล์ ~/.vimrc และเพิ่มเข้าไปดังนี้
filetype off
set rtp+=~/.vim/bundle/vundle
call vundle#rc()
filetype plugin indent on
การใช้งาน
- เพิ่มปลั๊กอินของเราเข้าไป โดยใส่ต่อเข้าไปใน ~/.vimrc
Bundle 'scrooloose/nerdtree' - ออกจาก vim และสั่ง
vim +BundleInstall +qall - Vundle จะโหลด plugin ลงมาให้ซึ่งเบื้องหลังก็คือการโคลนด้วย git นั้นเอง
:BundleUpdate ใน command mode หากสั่งจากภายใน vim หรือ vim +BundleUpdate +qall
และต้องการถอนการติดตั้งให้ลบ Bundle ที่ต้องการใน ~/.vimrc และสั่ง :BundleClean หรือ vim +BundleClean +qall ได้อีกด้วย
และหากต้องการหาปลั๊กอิน Vundle ก็สามารถทำได้เช่นกันโดยสั่ง
:BundleSearch <plugin_name>
10/25/2013
แก้ปัญหาใช้ backspace ใน vim ไม่ได้
ด้วยความอยากลอง vim 7.4 (อยากใช้ของใหม่ไปงั้น) เลยจัดมาผ่าน HomeBrew หลังจากลงสำเร็จไปได้ด้วยดีและลองใช้งานก็ไม่มีปัญหาอะไรจนกระทั่ง
"เห้ย กด backspace ไม่ได้ Ctrl-w ก็ไม่ได้ด้วย!!!"
ลองปิดเปิดใหม่ก็ไม่หาย จะ reinstall ใหม่ก็ขี้เกียจ เอาวะ google ก็ได้แล้วก็เจอกับแสงสว่างจาก vim wikia ว่าจะต้องเซต backspace ใน insert mode นะด้วยการสั่ง
set backspace=indent,eol,start
แต่สั่ง ณ ตอนนั้น พอปิดเปิดใหม่ก็จะใช้ไม่ได้ต้องสั่งเพราะงั้นก็เอาไปใส่ใน .vimrc ซะ เปิดมาก็ใช้ได้เหมือนปกติล่ะ
"เห้ย กด backspace ไม่ได้ Ctrl-w ก็ไม่ได้ด้วย!!!"
ลองปิดเปิดใหม่ก็ไม่หาย จะ reinstall ใหม่ก็ขี้เกียจ เอาวะ google ก็ได้แล้วก็เจอกับแสงสว่างจาก vim wikia ว่าจะต้องเซต backspace ใน insert mode นะด้วยการสั่ง
set backspace=indent,eol,start
แต่สั่ง ณ ตอนนั้น พอปิดเปิดใหม่ก็จะใช้ไม่ได้ต้องสั่งเพราะงั้นก็เอาไปใส่ใน .vimrc ซะ เปิดมาก็ใช้ได้เหมือนปกติล่ะ
Labels:
vim
Alfresco maven all-in-one archetype ภาคกำเนิด
ในการพัฒนา Alfresco นั้นจะมีระบบที่เรียกว่า Alfresco Module Package (AMP) ซึ่งจะต้องวางโฟลเดอร์ให้ตรงตามโครงสร้างของ Alfresco และสร้าง Ant script ขึ้นมาเพื่อช่วยจัดการในเรื่องของการสร้างแพ็คเกจ ซึ่งข้อเสียมันคือมันไม่สามารถจัดการ dependencies ได้และจะต้องสร้างจากมือทุกครั้ง (หรือเรียกว่าไม่มีแม่แบบของโปรเจคให้) และตัว AMP เองบางทีก็ไม่เหมาะกับการปรับแต่งอะไรเล็กๆ น้อยๆ ได้ ด้วยเหตุนี้เองจึงมีคนใน community ได้สร้างปลั๊กอินเพื่อต่อกับเครื่องมืออีกตัวนึงชื่อว่า Maven
10/15/2013
เอาไฟล์กลับมาได้ด้วย git reset
ตอนแรกจะลบไฟลเดอร์ link ที่สร้างจาก ln แต่ด้วยความที่ติด autocomplete ของ terminal ก็เลยกด tab รัวๆ ฮ่าๆๆ ตอนกด enter ก็เห็นแว๊บนึงว่า เห้ยทำไม link ที่จะลบมันมี / ต่อท้ายเลยสังหรณ์ใจไม่ดีกลับไปดูโฟลเดอร์จริงๆ ปรากฎคือ โฟลเดอร์หาย T__T ดีนะ ว่ามี git แล้วก็แก้ไม่เยอะด้วยเลยจัด
git reset --hard HEAD
อ่า โล่งใจไฟล์กลับมาแล้ว ถ้าแก้เยอะนี่อาจจะเศร้าได้เลยทีเดียว มันอาจจะมีท่าอื่นก็ได้นะ แต่ใช้ git ไม่เป็นอ่ะ
Labels:
git
9/13/2013
เซตชื่อและอีเมลสำหรับการคอมมิตในแต่ล่ะโปรเจค
ปกติผมใช้ git config --global user.name และ git config --global user.email มาตลอดด้วยความที่ติดมาตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย (เค้าสอนยังไงก็ใช้ยังงั้น :D ) จนมาวันนี้
แล้วถ้าเรามีอยากใช้คนละอีเมลในแต่ล่ะโปรเจคล่ะ?
ยกตัวอย่างเช่น ผมมีโปรเจคนึงที่ทำภายในบริษัทผมอยากจะใช้อีเมลของบริษัท แต่ถ้าทำเล่นกับเพื่อนๆ ใช้อีเมลบริษัทมันก็แปลกๆ ใช้อีเมลที่ใช้ปกติทั่วไปดีกว่า เลยไปถาม google ก็เจอกับลิ้งค์การปรับแต่งของ git (link) ก็เลยสรุปได้ว่าเราสามารถใส่ใน .git/config ได้เลย เช่น อยากให้ชื่อเป็น wingyplus และอีเมลเป็น wingyminus@gmail.com สำหรับโปรเจคนี้ ก็ให้เพิ่มเข้าไปที่ .git/config ได้เลย (config หน้าตาแบบนี้เค้าเรียกว่าอะไรไม่รู้)
[user]
name = wingyplus
email = wingyminus@gmail.com
จากนั้นลอง commit ก็จะใช้ชื่อและอีเมล (สังเกตตรง Author:) ตามที่เราตั้งไว้ดังรูป
Labels:
git
5/25/2013
Deploy Django to webserver (apache2, wsgi)
Note ไว้สำหรับตัวเองเพราะต้องเอา Django ไปใช้
วัตถุดิบ
- OS ที่ใช้
- Ubuntu Quantal 64-bit
- Web Server
- apache httpd + mod_wsgi
- Database
- MySQL
วิธีการลง
- ลง Ubuntu ก่อน ฮาา
- ลง MySQL Server
- sudo apt-get install mysql-server # ขั้นตอนนี้ MySQL จะให้เซต password ให้ใส่ตามต้องการ
- ลง apache httpd และ mod_wsgi โดยใช้คำสั่ง
- sudo apt-get install apache2 libapache2-mod-wsgi
- ลง Django webframework และ Python MySQL
- sudo apt-get install python-django python-mysqldb
- นำ django web ที่เราทำใส่ใน /var/www
- เปิดไฟล์ /etc/apache2/sites-available/default ขึ้นมาเพื่อ config wsgi
- restart apache config
sudo service apache2 restart - deploy Model ลง database โดยไปที่ web ของเรา
สั่ง python manage.py syncdb # ให้ตรวจสอบ config ของ database ก่อนที่จะสั่งด้วย - เปิด browser เข้าเวบของเราก็จะเข้าได้ทันที
Subscribe to:
Posts
(
Atom
)